1. คนที่อยากลดน้ำหนักไม่เคยรู้จักสาเหตุของความอ้วนอย่างแท้จริง
ปัญหาน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นนั้น มีจากหลายสาเหตุ หลายคนคงคิดว่า เป็นเพราะกินมากเกินไป กินอาหารมันๆ กินขนม กินของหวาน เลยทำให้อ้วน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม อันนี้ก็มีส่วนถูก แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน เช่น
– ภาวะอ้วนที่เกิดจากการทานฮอร์โมนบางประเภท เช่น การทานยาคุมกำเนิด
– ภาวะอ้วนเพราะการเจ็บป่วยทางร่างกายบางอย่าง เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (หรือลดลง) อย่างมาก เหมือนกรณีนักร้องสาว ทาทายัง ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพราะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เป็นต้น
– ภาวะอ้วนที่เกิดจากการป่วยทางจิตบางประเภท
– ภาวะอ้วนที่เกิดจากการทานยาบางประเภท
เป็นต้น
ดังนั้นหากคุณกำลังกลุ้มใจว่าเราอ้วนเกินไปแล้วนั้น ขอให้ตรวจสอบตัวเองก่อน ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เราอ้วน หรือน้ำหนักตัวผิดปกติให้แน่ชัดก่อน หากสาเหตุหลักของปัญหาน้ำหนักตัวของคุณมาจากการ
"กินอาหาร" ไม่ใช่จาก
"อาการป่วย"ของร่างกายหรือจิตใจ โดยการค้นหาสาเหตุนั้นสามารถทำเองได้ง่ายๆ ด้วยการสังเกตพฤติกรรมของตัวเองว่า ในแต่ละวันนั้น เรากินอะไรไปบ้าง, เราต้องกินยาอะไรบ้าง และ
น้ำหนักตัวที่เพิ่มนั้น มีอัตราการเพิ่มแค่ไหนต่อสัปดาห์ ซึ่งโดยปกติคนเราจะน้ำหนักตัวเพิ่มจากการทานอาหารมากเกินไป ไม่น่าจะเกินสัปดาห์ละ 1-2 กิโลกรัม (ยกเว้นว่าคุณจะไปสังสรรค์ กินมื้อดึกฉลองกันทุกวัน พร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันนี้ก็อาจจะมากกว่า 1-2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ได้)
หากค้นหาแล้วพบว่า สาเหตุของน้ำหนักตัวที่มากเกินไปของคุณนั้น มาจากการกินแล้วละก็ คุณสามารถลดน้ำหนักได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน! แต่หากเกิดจากการผิดปกติของร่างกาย คุณต้องไปพบคุณหมอ เพื่อให้คุณหมอแนะนำวิธีการลดน้ำหนักเฉพาะที่เหมาะกับโรคหรืออาการผิดปกติของคุณ
https://line.me/R/ti/p/%40vex7573r
2. ไม่รู้จักธรรมชาติของการลดน้ำหนัก
คนที่กำลังลดน้ำหนัก หรืออยากลดน้ำหนัก ส่วนมากไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของการลดน้ำหนัก คิดเอาง่ายๆ แค่ว่า ออกกำลังกายมากๆ เดี๋ยวก็ผอม ใช้พลังงานมากๆ เดี๋ยวก็ผอม อันนี้เห็นมาหลายรายแล้ว ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ และส่วนมากน้ำหนักตัวกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ธรรมชาติของการ
ลดน้ำหนักที่ถูกวิธีนั้นต้องเริ่มจาก เข้าใจถึงสาเหตุที่น้ำหนักตัวเราเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าคุณไม่ใช่คนป่วย หรือร่างกายผิดปกติใดๆ การที่คุณจะอ้วน หรือน้ำหนักตัวเพิ่มได้นั้น มาจากสาเหตุเดียวคือ
“คุณกินอาหารที่มีพลังงานมากเกินกว่าที่คุณใช้ในแต่ละวัน” ซึ่งโดยกลไกของร่างกายคนเรานั้น พลังงานที่เหลือจากอาหารที่เรากินเข้าไปนั้น ร่างกายจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังงานสะสม เผื่อให้เรียกใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือร่างกายตกอยู่ในภาวะหิวโหย โดยร่างกายจะเก็บพลังงานเหล่านั้นเอาไว้ในรูปแบบของไขมันนั้นเอง
ดังนั้นวิธีการลดน้ำหนักที่ได้ผลแน่นอน และได้ผลอย่างยั่งยืนไม่กลับมาอ้วนอีกก็คือ “การควบคุมปริมาณพลังงานจากอาหารที่กินในแต่ละวัน ให้เหมาะสมกับพลังงานที่คุณใช้ในแต่ละวัน” นั้นเอง ทั้งนี้ปริมาณการใช้พลังงานของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แม้ว่าจะมีค่าเฉลี่ยออกมา เช่น ผู้ชายมีค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานประมาณ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ในขณะที่ผู้หญิงมีค่าการใช้พลังงานเฉลี่ยที่ 1,200 – 1,500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
ทั้งนี้ค่าเฉลี่ยกับค่าที่ใช้จริงของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันนะครับ เพราะแต่ละคนก็มีระดับการเผาผลาญพลังงานไม่เท่ากัน โดยระดับการเผาผลาญพลังงาน (นำพลังงานจากอาหาร หรือไขมันไปใช้) มีหลายปัจจัย เช่น เพศ, อายุ, สภาพร่างกาย, มวลกล้ามเนื้อ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นรายละเอียดเชิงลึกเกินไป แต่เอาง่ายๆ ว่า ผู้ชายทั่วไปใช้ 1,800 ผู้หญิง 1,500 ก็แล้วกันครับ
ที่นี่การลดน้ำหนักแบบธรรมชาติและยั่งยืนก็คือ การกินอาหาร, ขนม, เครื่องดื่ม ฯลฯ สารพัดอย่าง ที่เข้าไปทางปากของเรานั้น ต้องมีจำนวนพลังงานต่ำกว่าค่าพลังงานเฉลี่ยในแต่ละวัน เมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยกว่า ส่วนที่ขาดไปนั้น ร่างกายของเราจะไปดึงเอาไขมันที่สะสมตาม
ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก เหนียงหรือคางฯลฯ มาใช้ทดแทน จึงทำให้เราสามารถลดน้ำหนัก และกระชับสัดส่วนได้นั้นเอง
https://line.me/R/ti/p/%40vex7573r
3. ใช้วิธีลดน้ำหนักที่ผิดวิธี
หลายคนพอรู้ว่า ถ้าอยากลดน้ำหนักก็แค่กินให้น้อย ใช้พลังงานให้มาก เลยใช้วิธีลดน้ำหนักที่ง่ายที่สุดก็คือ การอดอาหาร เพราะคิด (เอาเอง) ว่าถ้าเราไม่กินอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เช่น อดอาหารมื้อเช้า หรือเย็น ก็น่าจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารน้อย จะได้ผอมเร็วๆ แต่ความจริงคือ การอดอาหารกลับยิ่งทำให้การลดน้ำหนักสำเร็จได้ยาก และมีแนวโน้มว่าจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นมากกว่าเดิม
เพราะการ
อดอาหาร คือการที่เราไม่กินอาหารใดๆ เลย (นอกจากน้ำ) ทำให้ร่างกาย “ขาดสารอาหาร” ซึ่งสารอาหารจะเป็นตัวช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ซ่อมแซมเซลต่างๆ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหาร ในช่วงแรกร่างกายจะดึงสารอาหาร (ที่ร่างกายต้องการ) มาจากกล้ามเนื้อก่อน เช่น ร่างกายต้องการสารอาหารประเภทโปรตีน เมื่อเราอดอาหารแล้วกินแต่น้ำ ในมื้อนั้นร่างกายที่ต้องการใช้สารอาหารโปรตีนก็จะไปดึงโปรตีนในกล้ามเนื้อมาใช้แทนการ ร่างกายไม่ได้ไปเอาไขมันมาแทนโปรตีนนะครับ! การที่ร่างกายจะเอา
ไขมันมาเผาผลาญนั้น เขาเอามาเพื่อเป็นพลังงาน ไม่ใช่เป็นสารอาหาร
ในมื้อถัดไป เนื่องจากร่างกายขาดสารโปรตีน ร่างกายจะสั่งให้เรากินอาหารมากขึ้นเพื่อให้ได้โปรตีนมาชดเชยกับสิ่งที่ขาดหายไป แต่เราไม่รู้ว่าเราต้องการโปรตีน เราดันคิดว่าเราหิว ก็กินมันหมดทุกอย่าง ทั้งคาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, วิตะมิน, ไขมัน ฯลฯ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารในมื้อถัดไปมากเกินความต้องการ พลังงานที่เหลือจากอาหารที่กินเข้าไปจึงกลายสภาพเป็นไขมันเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นการอดอาหารจึงเป็นการลดน้ำหนักที่ผิดวิธีและผิดธรรมชาติมากที่สุด จึงไม่แปลกใจเลยที่ว่าทำไมคนอ้วนที่ยิ่งอดอาหาร แต่ทำไมน้ำหนักตัวกลับไม่ลดลงเลย
https://line.me/R/ti/p/%40vex7573r
4. ไม่รู้จักวิธีควบคุมน้ำหนัก
หลังจากที่คุณรู้วิธีลดน้ำหนักแบบธรรมชาติที่ถูกต้อง คือการกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ แต่ใช้การควบคุมพลังงานที่ได้จากอาหารแทน คราวนี้น้ำหนักตัวของ.คุณก็จะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อน้ำหนักตัวลดลงจนถึงจุดที่คุณต้องการ หรือสมใจอยากแล้ว
หลายคนพลาดแล้วกลับมาอ้วนอีกก็เพราะพวกเขาไม่รู้จัก วิธีควบคุมน้ำหนักไม่ให้กลับมาอ้วนอีก
วิธีควบคุมน้ำหนักไม่ให้กลับมาอ้วนอีกนั้น สามารถทำได้โดยการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เพราะคนที่มีกล้ามเนื้อที่มากกว่าจะสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อน้อยกว่า ลองสังเกตง่ายๆ กับคนที่เล่นกล้าม หรือเข้าฟิตเนสเป็นประจำและออกกำลังกายด้วยการยกดัมเบลหรือการเกร็งกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ จะเห็นว่าพวกเขาแม้น้ำหนักตัวอาจจะลดลงไม่มาก แต่ร่างกายของเขากลับ
สมส่วน มีรูปร่างที่
กระชับ เพรียว เนื้อไม่เผละเหมือน
คนอ้วนเลย นั้นเพราะว่า เขามีกล้ามเนื้อมากกว่า ร่างกายเขาจึงเผาผลาญไขมันสะสมได้ดีกว่า ทำให้ร่างกายกระชับมากกว่า ส่วนตัวเลขน้ำหนักตัวนั้นก็มาจากน้ำหนักของกล้ามเนื้อ ไม่ใช่จากไขมันนั้นเอง
คนที่ลดน้ำหนักจนถึงจุดที่พอใจแล้ว หากไม่อยากกลับมาอ้วนอีก นอกจากจะต้องควบคุมอาหารที่กิน “อย่ากินอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าพลังงานที่ตัวเองใช้ในแต่ละวัน” การเสริมสร้างกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายก็เป็นหนทางในการควบคุมน้ำหนัก
แล้วเราต้องคุมน้ำหนักนานแค่ไหน หลักการง่ายๆ ก็คือ เราใช้เวลานานแค่ไหนในการลดน้ำหนัก ก็ใช้เวลาเท่ากันในการ
คุมน้ำหนัก เช่น เราใช้เวลาในการลดน้ำหนัก 3 เดือน (3 เดือนเรา
ลดน้ำหนักจนถึงจุดที่เราพอใจ) เมื่อเราคุมน้ำหนัก เราก็ต้องคุมน้ำหนักอย่างน้อย 3 เดือนเช่นกัน เป็นต้น
5. อยากลดน้ำหนักให้ได้ผลเร็วเกินไป
สิ่งหนึ่งที่คนลดน้ำหนักแล้วลดไม่สำเร็จสักทีก็เพราะว่า พวกเขาใจร้อนเกินไป อยากเห็นผลเร็วๆ เลยโหมมากเกินไปในช่วงแรก ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน นอกจากนั้นการหวังผลเร็วเกินไป เช่น อยาก
ลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมภายใน 1-2 สัปดาห์ อันนี้ก็โอเวอร์เกินไป ลองคิดดูเล่นๆ ว่า กว่าคุณจะน้ำหนักตัวเพิ่ม 10 กิโลกรัม คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหน? 1 เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือน
ดังนั้นหากคุณต้องการลดน้ำหนัก จงตั้งเป้าหมายไว้แค่เพียง 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พอเป็นไปได้และไม่ยากจนเกินไป เมื่อเราทำสำเร็จในแต่ละช่วง เราจะมีกำลังใจที่จะลดน้ำหนักต่อ ซึ่งกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญตลอดระยะเวลาการลดน้ำหนักนั้นเอง
เคล็ดลับ ในการลดน้ำหนักให้ได้ผลยังมีอีกมาก วันนี้เอาแค่ทำความเข้าใจกันแบบพื้นฐานกันก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้ถึงวิธีลดน้ำหนักกันในแต่ละแบบในบทความต่อๆ ไปนะครับ