Powered By Blogger

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

💦 ดื่มน้ำให้ถูกเวลา ช่วยลดพุงได้ง่ายๆ 💪



ดื่มน้ำให้ถูกเวลา ช่วยลดพุงได้ง่ายๆ


น้ำเป็นส่วนประกอบหลักของร่างกาย ดังนั้นการดื่มน้ำให้เพียงพอจึงมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย เพราะน้ำเปล่ามีส่วนในการกระตุ้นการเผาผลาญไขมันและน้ำตาลในร่างกาย ☺

📖มีหลายผลงานวิจัยที่พิสูจน์มาแล้วว่า

การดื่มน้ำเปล่าในปริมาณที่เหมาะสมนั้น จะช่วยลดน้ำหนักได้จริง นั่นเป็นเพราะ น้ำเปล่า ไม่มีแคลอรี่ และการดื่มน้ำเปล่าจะช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้ลดลง ทำให้การเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นเพื่อให้ร่างกายเกิดความสมดุล ร่างกายจึงไปดึงไขมันและพลังงานที่สะสมอยู่ตามร่างกายไปเผาผลาญเพิ่ม ทำให้น้ำหนักลดลงในที่สุด❗


การดื้มน้ำในแต่ละช่วงเวลาของวัน จะให้ปรพโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกันไป โดยแบ่งเป็น 9 ช่วงเวลา ดังนี้


🕕 หลังตื่นนอนขณะท้องว่าง : 2 แก้ว ช่วยดีท็อกซ์ลำไส้และกระตุ้นการทำงานของระบบภายใน
.
🕡 30 นาทีก่อนอาหารเช้า : 1 แก้ว ช่วยย่อยอาหารและทำให้อิ่มไวขึ้น
.
🕖 1 ชม. หลังอาหารเช้า : 1 แก้ว ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
.
🕦 30 นาทีก่อนอาหารกลางวัน : 1 แก้ว ช่วยให้อิ่มไวขึ้นและย่อยง่าย
.
🕐 1 ชั่วโมงหลังอาหารกลางวัน : 1-2 แก้ว ช่วยย่อยอาหารและช่วยในการขับถ่าย
.
🕒 ช่วงบ่าย 3 : 1-2 แก้ว เพิ่มความสดชื่นและความชุ่มชื่นให้ผิว
.
🕠 30 นาทีก่อนอาหารเย็น : 1 แก้ว ลดความอยากอาหารและช่วยให้อาหารย่อยง่ายขึ้น
.
🕗 ช่วง 1-2 ทุ่ม : 2 แก้ว ให้เลือดไหลเวียนสะดวกยิ่งขึ้นและผิวสวยผ่องใส
.
🕙 1 ชั่วโมงก่อนนอน : 1 แก้ว ล้างสิ่งตกค้างในลำไส้
***แก้วละ 250 ซีซี***

https://line.me/R/ti/p/%40vex7573r

 🤔 บอกเลยว่า การดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวันนั้นสำคัญจริงๆ นะ ใครที่ยังไม่ชินกับการดื่มน้ำเยอะๆ ก็ค่อยๆ ปรับตัวนะจ๊ะ

 เริ่มจากการเพิ่มทีละนิด พยายามจิบน้ำบ่อยขึ้น แล้วอย่าลืมนำเคล็ดลับที่นำมาบอกไปปรับใช้ให้เหมาะกับปริมาณน้ำที่ร่างกายต้องการสำหรับแต่ละคนด้วยนะคะ ..

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

5 เคล็ดลับกินเค้กอย่างไรไม่ให้อ้วนลงพุง


ความอยากของหวานไม่เข้าใครออกใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเดือนแห่งความรักแบบนี้ นอกจากคนรักจะชวนทานของหวานหน้าตาน่าทานแล้ว หลายๆ ร้านยังจัดโปรโมชั่น จัดเซ็ตพิเศษจนเราอดใจไม่ไหว ไม่ทานก็ทรมานใจ ทรมานปาก แต่ทานเค้กสุดอร่อยอย่างไรไม่ให้อ้วน มาดูกัน


1. ทานตอนเช้า
อาจฟังดูแปลก แต่เราไม่จำเป็นต้องทานเค้กตอนเย็นเสมอไปนี่ จริงไหม หากอยากทานเค้กให้หนำใจไม่กลัวอ้วน ลองซื้อเค้กมาตั้งแต่ตอนเย็น แล้วนำมาทานตอนเช้า (แช่ตู้เย็นด้วยล่ะ) หรือบุกร้านเค้กตั้งแต่เปิดร้านใหม่ๆ ไปเลย ซึ่งวิธีหลังเป็นวิธีที่เราอยากแนะนำมากกว่า เพราะนอกจากเราจะได้เค้กที่อบใหม่ๆ ไม่ต้องอารมณ์เสียกับเค้กบางอย่างที่อาจจะขายดีจนหมดเสียก่อน เรายังได้เผาผลาญพลังงานที่เราได้จากเค้กตั้งแต่เช้า ยิ่งช่วงเช้าระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำอยู่แล้วด้วย เพิ่มน้ำตาลสักหน่อย ทำให้ร่างกายสดชื่น มีพลังงานใช้ชีวิตต่อได้ตลอดทั้งวันอย่างแน่นอน

2. เลือกเค้กญี่ปุ่น

ทำไมเราถึงเชียร์ให้ทานเค้กญี่ปุ่น? เพราะส่วนใหญ่แล้วเค้กญี่ปุ่นแท้ๆ จะเนื้อเบาๆ น้ำตาลน้อยๆ รสชาติไม่หวานมาก และท็อปปิ้งเป็นผลไม้สด แทนที่จะเป็นผลไม้เชื่อม หรือผลไม้แช่แข็ง ทำให้ขนมหวานมื้อนี้ไม่ได้มีแต่แป้ง และน้ำตาล แต่ยังมีวิตามินดีๆ จากผลไม้สดอีกด้วย นอกจากนี้หากคุณเป็นคนชอบทานเค้กช็อคโกแลต เค้กญี่ปุ่นยังชอบใส่โก้โก้มากกว่าน้ำตาล ทำให้ได้รสชาติเข้มข้นจากโกโก้ มากกว่าจะได้ความหวานมันจากน้ำตาลอีกด้วย
โบนัสอีกข้อที่อาจจะฟังดูไม่ดี คือเค้กญี่ปุ่นมักมีราคาสูง ชิ้นไม่ใหญ่โตเท่าไร เราจึงเลือกทานได้แค่ชิ้นเล็กๆ พอหายอยาก ไม่ถึงขนาดทานเอาอิ่ม แต่แค่นี้ก็ฟินได้แล้วเนอะ
3. เลี่ยงชีสเค้ก เลือกเครปเค้ก
สาวๆ ที่พุ่งตรงไปจิ้มชีสเค้กที่หน้าตู้ ลองตั้งสติใหม่ แล้วเหลือบไปมองเครปเค้กดูบ้าง เครปเค้ก คือเค้กที่เป็นแป้งบางๆ วางชั้นสลับกับครีมสด ซ้อนกันหลายๆ ชั้น รสชาติหวานน้อยมากถึงมากที่สุด ดังนั้นเวลาทานจะมีซอสราดอยู่บนเค้กเพื่อช่วยเพิ่มรสชาติ ซึ่งปริมาณซอสที่เราทานคู่กับเค้กในแต่ละคำก็พอดีๆ ไม่มากไม่น้อย ช่วยชูรสชาติของเค้กให้อร่อยขึ้นได้แบบไม่กลัวอ้วนเท่ากับครีมหนาๆ ชีสแน่นๆ แถมเครปเค้กยังราคาเป็นมิตรกับกระเป๋าสตางค์ของเราอีกด้วยนะ


5 เคล็ดลับ กิน ดี สุขภาพดี

5 เคล็ดลับ กิน ดี สุขภาพดี



การที่เราจะมีสุขภาพดีได้นั้น นอกจากขึ้นอยูกับปัจจัยภายนอกแล้ว ปัจจัยภายในอย่างการ กิน อาหารก็สำคัญเช่นกัน เรามาดูกันดีกว่าค่ะ ว่าเพื่อสุขภาพที่ดีของร่างกายเรานั้น เราควรเลือก กิน อาหารอย่างไรบ้าง




1. กิน อาหารครบ 5 หมู่

อันนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องแรกเลยค่ะ สำหรับการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มความสำคัญของการกินอาหารแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด โดยน้ำหนักตัวเป็นเครื่องบ่งชี้อย่างง่ายถึงภาวะสุขภาพ หากสังเกตเห็นว่าน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากน้ำหนักปกติ แสดงให้เห็นว่าเริ่มกินอาหารมากเกินไปแล้ว ควรจะต้องหันมาควบคุมลดปริมาณให้น้อยลง เน้นอาหารในส่วนที่เป็นอาหารที่มีใยอาหาร อย่างเช่น ผัก ให้มากขึ้น หรือหากพบว่าน้ำหนักตัวลดลงเรื่อยๆ และมีการอ่อนเพลีย ง่วง ซึม ควรพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพ เพราะฉะนั้นควรหมั่นชั่งน้ำหนักตัวอย่างน้อยเดือนละครั้งด้วยค่ะ

2. เลือกข้าวแบบไม่ขัดสี


อาหารหลัก นั่นก็คือ ข้าว แต่การทานข้าวนั้นควรเลือกกินข้าวที่ไม่ขัดสี ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง เนื่องจากจะมีวิตามิน แร่ธาตุ โปรตีนและใยอาหารมากกว่าข้าวขาวที่ถูกขัดสีแล้ว


3. กิน พืชผักและผลไม้เป็นประจำ

เพราะพืชผักและผลไม้ให้สารอาหารที่สำคัญหลายชนิด คือ วิตามิน แร่ธาตุ และใยอาหาร และให้สารอื่นที่มิใช่สารอาหาร เช่น สารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยไม่ให้อนุมูลอิสระทำลายเนื้อเยื่อและผนังเซลล์ ช่วยชะลอการเสื่อมสลายของเซลล์ ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ดูสดใส ไม่แก่เกินวัย นอกจากนี้ยังให้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพรที่ช่วยรักษาสุขภาพอีกด้วย

4. เน้นปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน และไข่
เป็นการกินอาหารที่ให้โปรตีน โดยเน้นปลา ซึ่งการทานปลาจะไม่ทำให้เกิดไขมันสะสม และมีคุณค่างอาหารมาก ย่อยง่าย ส่วนเนื้อสัตว์ให้เลือกที่ไม่ติดมันจะดีกว่า เพราะจะไม่มีไขมันเกิดขึ้น และไข่เป็นอาหารที่มีประโยชน์ ควรกินเป็นประจำอาทิตย์ละ 2-3 วัน / ฟอง


5. ดื่มนมให้เหมาะสมตามวัย

นมเป็นอาหารที่มีประโยชน์สมบูรณ์ เป็นแหล่งอาหารของโปรตีน แคลเซียม วิตามินบี 2 และแร่ธาตุต่างๆ โดยสามารถเลือกดื่มนมพร่องไขมันได้สำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักด้วย ซี่งการดื่มนมควรดื่มวันละ 1 แก้ว เพื่อคุณค่าทางอาหารที่ครบถ้วน

วันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

รู้หรือไม่? เครียด แล้วทำให้ อ้วน



https://www.facebook.com/dealerspm/

รู้หรือไม่? เครียด แล้วทำให้ อ้วน
สารพันปัญหานับเป็นน้ำจิ้มของชีวิตให้เราได้ต่อสู้ดิ้นรน แต่คุณรู้หรือไม่ว่า ยิ่งเครียดมากก็ยิ่ง อ้วน มาก ซึ่งอาจจะชวนมึนกันสักหน่อย เพราะหลายคนอาจเข้าใจว่า เครียด…จนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แล้วความเครียดจะทำให้ อ้วน ได้อย่างไร วันนี้จะพาไปเจาะลึก


ในแต่ละวัน เราทุกคนต้องเผชิญหน้ากับความเครียด ซึ่งจะเครียดจากงาน จากลูกชาย หรือปัญหาน้ำท่วม ก็นับว่าเป็นความเครียดอย่างหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้มีความมุ่งมั่นที่จะฟันฝ่าอุปสรรค์ต่างๆ แต่หากว่าความเครียดระดับขี้เล็บเหล่านี้เดินหน้ามาอย่างสม่ำเสมอ และคุณก็ไม่สามารถหาทางแก้ไขได้ เจ้าความเครียดนี่แหละที่จะก่อปัญหาด้านสุขภาพตามมาติดๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพจิตใจ ส่งผลต่อหัวใจ ภูมิต้านทานต่ำ หรือแม้แต่รบกวนความรู้สึกอยากและหิวหาอาหาร ซึ่งบางรายเมื่อรู้สึกเครียดก็จะไม่ยอมรับประทานอะไรเลย ในขณะที่บางรายจะสรรหาสารพัดของกินมากินแก้เครียด
เมื่อเกิดความเครียด ทุกสิ่งอย่างจะถูกกักตุนไว้ที่สมอง โดยเจ้าสมองอันชาญฉลาดจะส่งสัญญาณไปยังต่อมแอดรินาลีน ซึ่งอยู่เหนือบริเวณไตให้หลั่งฮอร์โมนความเครียดชนิดหนึ่งออกมา นั่นคือ ‘คอร์ติโซล’ ที่จะส่งสัญญาณบอกเซลล์ไขมันในช่องท้องให้สร้างไขมันสะสมเพิ่มขึ้นเพื่อเป็นที่เก็บพลังงาน เมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกของการต่อสู้ หรือเป็นกลไกในการปกป้องตนเอง คล้ายกับการยกโอ่งหนีไฟไหม้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สมองของเราไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างความเครียดที่เกิดจากการเอาตัวรอดและความเครียดที่เกิดขึ้นในทุก ๆ วัน ซึ่งจะทำให้ร่างกายรู้สึก อยากอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่เน้นแคลอรีและไขมัน จนในที่สุดสาวกความเครียดก็จะ สะสมไขมัน มากกว่าคนปกติ หรือคนที่มีอารมณ์ดี
นอกจากนี้ ฮอร์โมนคอร์ติโซลยังสามารถเข้าไปกระตุ้นให้ปริมาณของอินซูลินและเลพตินเพิ่มขึ้น โดยอินซูลินคือฮอร์โมนที่ถูกขับออกมาในตับอ่อน ซึ่งจะส่งผลให้รู้สึกอยากอาหารอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่เลพตินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่จะคอยบอกกับสมองว่า เมื่อใดจึงควร หยุดความอยากอาหาร เมื่อไรจะเร่งอัตราการเผาผลาญอาหาร และเมื่อใดร่างกายต้อง เผาผลานไขมันสะสม ไว้ แต่เมื่อความเครียดกระตุ้นให้รู้สึกอยากอาหาร ไขมัน
 สูง ร่างกายของก็จะหยุดตอบโต้เลพติน ซึ่งทำให้ระบบสั่งการรวนเร จึงส่งผลให้มีแนวโน้มว่าจะทานไม่ยั้ง โดยเฉพาะชายหญิงในวัยกลางคน
ลดเครียดลดหุ่น
เมื่อความเครียดคือหนึ่งในตัวการแห่งความอยากอาหาร ดังนั้น การทำจิตใจให้แจ่มใส เช่น ดูหนัง ฟังเพลง อาจเป็นทางออกที่ดีเพื่อรักษารูปร่างให้สวยเช้ง แต่วิธีที่เลิศสุดๆ เพื่อลดความเครียดแถมพ่วงด้วยหุ่นสวยก็คือ ป้องกันการหลั่งของฮอร์โมนแห่งความเครียดด้วยการออกกำลังกาย เพราะช่วงเวลาที่คุณออกกำลังกายร่างกายจะผลิตสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งจะช่วยสกัดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโซล โดยการออกกำลังกายนั้น ก็ควรเป็นไปในลักษณะของการทำเป็นประจำ คืออย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 – 40 นาที
นอกจากนี้ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเพิ่มพูนความสุขด้วย ถั่ว กล้วย นมสด ก็เป็นอีกวิธีที่ควรทำควบคู่ไปกับการปรับอารมณ์ให้เข้าใจถึงสิ่งทำให้เครียด เพราะถ้าเราสามารถแก้ไขจุดที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ ซึ่งนั้นหมายถึงว่า ความเครียดไม่ใช่ปัญหาใหญ่ และหุ่นสวยๆ ก็จะอยู่กับเราตลอดไป
    ขอบคุณที่มาจาก : emaginfo.com

อาหารคลีน ลดอ้วนได้จริงหรือ..???

อาหารคลีน ลดอ้วนได้จริงหรือ..?



สมัยนี้ใครๆก็ห่วงเรื่องสุขภาพกันทั้งนั้นไม่ว่าจะกินจะทานอะไรก็กลัวอ้วนกันไปหมด ทำให้เกิดสูตรการกินอาหารเพื่อลดความอ้วนกันมากมายและที่กำลังมาแรงแซงทางโค้งอยู่บนโลกออนไลน์มีการแชร์กันอย่างต่อเนื่องก็คือ  อาหารคลีนของคนอยากผอม ผอมแบบไม่ต้องใช้ยา มันจะเป็นจริงอย่างที่กล่าวอ้างกันหรือป่าว? หรือเป็นแค่กระแสบอกผ่านเท่านั้น 





อาหารคลีนคืออะไร?
อาหารคลีน (Clean Food) เป็นศัพท์ที่ถูกจำกัดความเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจว่า
•อาหารที่ไม่ปนเปื้อนจากสิ่งสกปรกและเชื้อโรคต่างๆ หรือปนเปื้อนจากการปรุงแต่ง
•อีกนัยหนึ่งก็คือ อาหารที่สะอาดและผ่านกระบวนการปรุงแต่งน้อยที่สุด
ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมานานแล้ว อย่างในอดีต เราจะเน้นกินผักผลไม้สด อาหารปรุงสุกที่กินทันที ซึ่งยังคงคุณค่าทางโภชนาการ ครบ 5 หมู่ สิ่งปนเปื้อนน้อย แต่พอมาปัจจุบัน อาหารผ่านกระบวนการมากขึ้น ทั้งใส่สารกันบูด แปรรูป แต่งกลิ่น ทำให้คุณค่าของอาหารลดลง บางครั้งสารเคมีที่เติมเข้าไปอาจสะสมเป็นปัญหาทางสุขภาพระยะยาวอีกด้วย หลายคนก็เลยหันมารับประทานอาหารที่สด สะอาด ปลอดภัย หรืออาหารคลีนเหมือนในอดีตนั่นเอง


แบบไหนกันแน่ที่เรียกว่าอาหารคลีน?
อาหารคลีนส่วนใหญ่จะผ่านการขัดสีและแปรรูปให้น้อยที่สุด เช่น เลือกข้าวกล้องแทนข้าวขาว ผักผลไม้สดแทนผลไม้กระป๋อง และอาหารที่ปรุงแต่งให้น้อยที่สุด คงความเป็นธรรมชาติของอาหารให้มากที่สุด เช่น ไม่ปรุงน้ำตาล น้ำปลา จนทำให้รสชาติผิดไปจากเดิมมากเกินไป


กินคลีนแล้วลดน้ำหนักได้จริงไหม?
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การควบคุมน้ำหนักจะมี 2 ส่วน คืออาหาร 70% และการออกกำลังกาย 30% แปลว่าอาหารมีส่วนสำคัญมากในการควบคุมน้ำหนัก ปกติเรามักจะกินอาหารขยะหรืออาหารสำเร็จรูปอย่างน้อย 1 มื้อต่อวันอยู่แล้ว อาหารเหล่านี้มักให้พลังงานที่สูงกว่าอาหารคลีนในปริมาณที่เท่ากัน เนื่องจากมีแป้งขัดสี ไขมัน และเครื่องปรุงโดยเฉพาะน้ำตาลเป็นจำนวนมาก
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ไส้กรอกรมควัน 1 ชิ้น มีไขมันอิ่มตัวประมาณ 42% ซึ่งสูงมาก ในขณะที่อาหารคลีนจะให้พลังงานน้อยกว่า และเราจะอิ่มเพราะไฟเบอร์ที่มีอยู่ในอาหารไม่ขัดสี แทนที่จะอิ่มด้วยคาร์โบไฮเดรตและไขมันดังนั้นการกินคลีนแบบเหมาะสม ก็ช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนักได้


คนเราจำเป็นต้องกินคลีนแค่ไหน?
ก็อาจจะไม่ได้ถึงขนาดว่าจำเป็นต้องกิน คือบางครั้งเราไม่สะดวกในการซื้ออาหารคลีน แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไร ก็กินเถอะค่ะ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อนต่างๆ ที่ไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ที่สำคัญที่สุดคือ ในแต่ละวัน ต้องรับประทานอาหารที่สะอาดในปริมาณที่เหมาะสมและครบ 5 หมู่ กินคลีนเท่าที่สะดวก และไม่เดือดร้อนกับการดำรงชีวิตประจำวันของเรา



เบื่ออาหารคลีน "จืด ชืด ซ้ำ" ทำไงดี?
อาหารคลีนมีความหลากหลายมาก บางคนเข้าใจว่าอาหารคลีนคืออาหารชีวจิต กินได้แค่ไม่กี่อย่าง จริงๆ อาหารทุกอย่างล้วนเป็นอาหารคลีนได้ ถ้าสด สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน แปรรูปน้อย ปรุงรสเท่าที่จำเป็น แต่พอปรุงรสน้อยๆ แรกๆก็อาจทำให้ไม่ถูกปากได้ เพราะเราเคยชินกับอาหารรสจัดและมีผงชูรสเป็นส่วนประกอบไปแล้วเท่านั้นเอง                                   
เคล็ด(ไม่)ลับ ฉบับอาจารย์ฝนสำหรับคนอยากผอม
สำหรับคนที่อยากลดน้ำหนัก มีหุ่นดี สุขภาพดี ก็ขอแนะนำให้ทำตามนี้ควบคู่กับการออกกำลังกาย ง่ายๆ แต่ได้ผลแน่นอน
1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ สะอาด ปราศจากการปนเปื้อน
2. ห้ามพลาดอาหารเช้าเด็ดขาด! และควรกินภายใน 1 ชั่วโมงหลังตื่นนอน
3. ควรแบ่งอาหารเป็นมื้อย่อยๆ หลายๆมื้อ เช่น 4-6 มื้อต่อวัน
4. หลีกเลี่ยงอาหารและเนื้อสัตว์ที่มีไขมันสูง
5. เลือกกินคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ธัญพืชต่าง ๆ
6. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหวานจัด หรือ เค็มจัด
7. ดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร
8. งดเครื่องดื่มที่มีรสหวาน น้ำอัดลม และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่าง ๆ

เมนูคลีนแนะนำ ทำกินเองได้ ง่ายสุดๆ!
กระเพราไข่เบเนดิกส์
เมนูกันตาย กินเมื่อไรก็อร่อยด้วยกระเพราไข่เบเนดิกส์ เพียงแค่ใช้อกไก่ (เนื้อไก่ส่วนที่มีแต่เนื้อเน้นๆ ไม่มีมัน) เห็ด (อยากกินเห็นอะไรจัดไปอย่าให้เสีย) พริก กระเทียม ผัดกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนชาให้พอสุก เหยาะซีอิ๊วขาวเล็กน้อย พร้อมกับสาดใบกระเพราเท่าที่มีลงไป เป็นอันเสร็จ!
จากนั้นก็ต้มน้ำที่ผสมน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ รอเดือดแล้วก็ตอกไข่ใส่ไป ไข่จะสุกเป็นไข่ดาวเบเนดิกส์โดยไม่ต้องใช้น้ำมัน เอาทุกอย่างนี้จัดเรียงเสิร์ฟพร้อมข้าวกล้องร้อนๆ พอแล้วจ้ามื้อนี้ กินแบบสวยๆ อิ่มอร่อยด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก
dek-d.com


5 สาเหตุ ที่คนอ้วนลดน้ำหนักไม่เคยสำเร็จ

5 สาเหตุ ที่คนอ้วนลดน้ำหนักไม่เคยสำเร็จ

การลดน้ำหนัก หรือการสรรหาสารพัดวิธีในการลดน้ำหนักจึงเริ่มเป็นกระแส ทั้งสถาบันเสริมความงามต่างๆ ที่ต่างก็ชูประเด็น พาเหล่าดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ว่า พวกเขาใช้เทคโนโลยีชนิดนั้น ชนิดนี้ แล้วสามารถลดน้ำหนัก หรือกระชับสัดส่วนได้ได้ ซึ่ง 
คนอ้วน หลายคนก็อาจจะเคยลองไปใช้บริการการลดน้ำหนัก หรือกระชับสัดส่วน (เฉพาะจุด) เหล่านี้มาบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว ส่วนมากก็จะกลับมาอ้วน หรือมีปัญหาเรื่อง  น้ำหนักตัวเหมือนเดิมอยู่ดี
แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถลดน้ำหนักได้อย่างที่หวังไว้ละ? คำตอบของคำถามนี้ เรียบง่ายแต่ต้องทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จึงจะสามารถลดน้ำหนักได้อย่างถาวรและไม่กลับมาอ้วนอีก 5 สาเหตุที่คนอ้วนไม่สามารถลดน้ำหนักสำเร็จมีดังต่อไปนี้

1. คนที่อยากลดน้ำหนักไม่เคยรู้จักสาเหตุของความอ้วนอย่างแท้จริง

ปัญหาน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นนั้น มีจากหลายสาเหตุ หลายคนคงคิดว่า เป็นเพราะกินมากเกินไป กินอาหารมันๆ กินขนม กินของหวาน เลยทำให้อ้วน ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่ม อันนี้ก็มีส่วนถูก แต่ยังมีอีกหลายสาเหตุที่คุณอาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อน เช่น
– ภาวะอ้วนที่เกิดจากการทานฮอร์โมนบางประเภท เช่น การทานยาคุมกำเนิด
– ภาวะอ้วนเพราะการเจ็บป่วยทางร่างกายบางอย่าง เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น (หรือลดลง) อย่างมาก เหมือนกรณีนักร้องสาว ทาทายัง ที่น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเพราะต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ เป็นต้น
– ภาวะอ้วนที่เกิดจากการป่วยทางจิตบางประเภท
– ภาวะอ้วนที่เกิดจากการทานยาบางประเภท
เป็นต้น
ดังนั้นหากคุณกำลังกลุ้มใจว่าเราอ้วนเกินไปแล้วนั้น ขอให้ตรวจสอบตัวเองก่อน ค้นหาสาเหตุที่ทำให้เราอ้วน หรือน้ำหนักตัวผิดปกติให้แน่ชัดก่อน หากสาเหตุหลักของปัญหาน้ำหนักตัวของคุณมาจากการ "กินอาหาร" ไม่ใช่จาก "อาการป่วย"ของร่างกายหรือจิตใจ โดยการค้นหาสาเหตุนั้นสามารถทำเองได้ง่ายๆ ด้วยการสังเกตพฤติกรรมของตัวเองว่า ในแต่ละวันนั้น เรากินอะไรไปบ้าง, เราต้องกินยาอะไรบ้าง และน้ำหนักตัวที่เพิ่มนั้น มีอัตราการเพิ่มแค่ไหนต่อสัปดาห์ ซึ่งโดยปกติคนเราจะน้ำหนักตัวเพิ่มจากการทานอาหารมากเกินไป ไม่น่าจะเกินสัปดาห์ละ 1-2 กิโลกรัม (ยกเว้นว่าคุณจะไปสังสรรค์ กินมื้อดึกฉลองกันทุกวัน พร้อมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันนี้ก็อาจจะมากกว่า 1-2 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ได้)
หากค้นหาแล้วพบว่า สาเหตุของน้ำหนักตัวที่มากเกินไปของคุณนั้น มาจากการกินแล้วละก็ คุณสามารถลดน้ำหนักได้ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน! แต่หากเกิดจากการผิดปกติของร่างกาย คุณต้องไปพบคุณหมอ เพื่อให้คุณหมอแนะนำวิธีการลดน้ำหนักเฉพาะที่เหมาะกับโรคหรืออาการผิดปกติของคุณ

https://line.me/R/ti/p/%40vex7573r

2. ไม่รู้จักธรรมชาติของการลดน้ำหนัก

คนที่กำลังลดน้ำหนัก หรืออยากลดน้ำหนัก ส่วนมากไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของการลดน้ำหนัก คิดเอาง่ายๆ แค่ว่า ออกกำลังกายมากๆ เดี๋ยวก็ผอม ใช้พลังงานมากๆ เดี๋ยวก็ผอม อันนี้เห็นมาหลายรายแล้ว ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้สำเร็จ และส่วนมากน้ำหนักตัวกลับเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย
ธรรมชาติของการลดน้ำหนักที่ถูกวิธีนั้นต้องเริ่มจาก เข้าใจถึงสาเหตุที่น้ำหนักตัวเราเพิ่มขึ้น ซึ่งถ้าคุณไม่ใช่คนป่วย หรือร่างกายผิดปกติใดๆ การที่คุณจะอ้วน หรือน้ำหนักตัวเพิ่มได้นั้น มาจากสาเหตุเดียวคือ “คุณกินอาหารที่มีพลังงานมากเกินกว่าที่คุณใช้ในแต่ละวัน” ซึ่งโดยกลไกของร่างกายคนเรานั้น พลังงานที่เหลือจากอาหารที่เรากินเข้าไปนั้น ร่างกายจะเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังงานสะสม เผื่อให้เรียกใช้ในกรณีฉุกเฉิน หรือร่างกายตกอยู่ในภาวะหิวโหย โดยร่างกายจะเก็บพลังงานเหล่านั้นเอาไว้ในรูปแบบของไขมันนั้นเอง
ดังนั้นวิธีการลดน้ำหนักที่ได้ผลแน่นอน และได้ผลอย่างยั่งยืนไม่กลับมาอ้วนอีกก็คือ “การควบคุมปริมาณพลังงานจากอาหารที่กินในแต่ละวัน ให้เหมาะสมกับพลังงานที่คุณใช้ในแต่ละวัน” นั้นเอง ทั้งนี้ปริมาณการใช้พลังงานของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน แม้ว่าจะมีค่าเฉลี่ยออกมา เช่น ผู้ชายมีค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานประมาณ 1,800 – 2,000 กิโลแคลอรี่ต่อวัน ในขณะที่ผู้หญิงมีค่าการใช้พลังงานเฉลี่ยที่ 1,200 – 1,500 กิโลแคลอรี่ต่อวัน
ทั้งนี้ค่าเฉลี่ยกับค่าที่ใช้จริงของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันนะครับ เพราะแต่ละคนก็มีระดับการเผาผลาญพลังงานไม่เท่ากัน โดยระดับการเผาผลาญพลังงาน (นำพลังงานจากอาหาร หรือไขมันไปใช้) มีหลายปัจจัย เช่น เพศ, อายุ, สภาพร่างกาย, มวลกล้ามเนื้อ ฯลฯ ซึ่งจะเป็นรายละเอียดเชิงลึกเกินไป แต่เอาง่ายๆ ว่า ผู้ชายทั่วไปใช้ 1,800 ผู้หญิง 1,500 ก็แล้วกันครับ
ที่นี่การลดน้ำหนักแบบธรรมชาติและยั่งยืนก็คือ การกินอาหาร, ขนม, เครื่องดื่ม ฯลฯ สารพัดอย่าง ที่เข้าไปทางปากของเรานั้น ต้องมีจำนวนพลังงานต่ำกว่าค่าพลังงานเฉลี่ยในแต่ละวัน เมื่อร่างกายได้รับพลังงานน้อยกว่า ส่วนที่ขาดไปนั้น ร่างกายของเราจะไปดึงเอาไขมันที่สะสมตาม  ต้นแขน ต้นขา หน้าท้อง สะโพก เหนียงหรือคางฯลฯ มาใช้ทดแทน จึงทำให้เราสามารถลดน้ำหนัก และกระชับสัดส่วนได้นั้นเอง


https://line.me/R/ti/p/%40vex7573r
3. ใช้วิธีลดน้ำหนักที่ผิดวิธี
หลายคนพอรู้ว่า ถ้าอยากลดน้ำหนักก็แค่กินให้น้อย ใช้พลังงานให้มาก เลยใช้วิธีลดน้ำหนักที่ง่ายที่สุดก็คือ การอดอาหาร เพราะคิด (เอาเอง) ว่าถ้าเราไม่กินอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เช่น อดอาหารมื้อเช้า หรือเย็น ก็น่าจะทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารน้อย จะได้ผอมเร็วๆ แต่ความจริงคือ การอดอาหารกลับยิ่งทำให้การลดน้ำหนักสำเร็จได้ยาก และมีแนวโน้มว่าจะทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นมากกว่าเดิม
เพราะการ อดอาหาร คือการที่เราไม่กินอาหารใดๆ เลย (นอกจากน้ำ) ทำให้ร่างกาย “ขาดสารอาหาร” ซึ่งสารอาหารจะเป็นตัวช่วยทำให้ร่างกายแข็งแรง ซ่อมแซมเซลต่างๆ รวมถึงเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ เมื่อร่างกายไม่ได้รับสารอาหาร ในช่วงแรกร่างกายจะดึงสารอาหาร (ที่ร่างกายต้องการ) มาจากกล้ามเนื้อก่อน เช่น ร่างกายต้องการสารอาหารประเภทโปรตีน เมื่อเราอดอาหารแล้วกินแต่น้ำ ในมื้อนั้นร่างกายที่ต้องการใช้สารอาหารโปรตีนก็จะไปดึงโปรตีนในกล้ามเนื้อมาใช้แทนการ ร่างกายไม่ได้ไปเอาไขมันมาแทนโปรตีนนะครับ! การที่ร่างกายจะเอาไขมันมาเผาผลาญนั้น เขาเอามาเพื่อเป็นพลังงาน ไม่ใช่เป็นสารอาหาร
ในมื้อถัดไป เนื่องจากร่างกายขาดสารโปรตีน ร่างกายจะสั่งให้เรากินอาหารมากขึ้นเพื่อให้ได้โปรตีนมาชดเชยกับสิ่งที่ขาดหายไป แต่เราไม่รู้ว่าเราต้องการโปรตีน เราดันคิดว่าเราหิว ก็กินมันหมดทุกอย่าง ทั้งคาร์โบไฮเดรต, โปรตีน, วิตะมิน, ไขมัน ฯลฯ ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารในมื้อถัดไปมากเกินความต้องการ พลังงานที่เหลือจากอาหารที่กินเข้าไปจึงกลายสภาพเป็นไขมันเพิ่มมากขึ้นไปอีก
ดังนั้นการอดอาหารจึงเป็นการลดน้ำหนักที่ผิดวิธีและผิดธรรมชาติมากที่สุด จึงไม่แปลกใจเลยที่ว่าทำไมคนอ้วนที่ยิ่งอดอาหาร แต่ทำไมน้ำหนักตัวกลับไม่ลดลงเลย

https://line.me/R/ti/p/%40vex7573r



4. ไม่รู้จักวิธีควบคุมน้ำหนัก
หลังจากที่คุณรู้วิธีลดน้ำหนักแบบธรรมชาติที่ถูกต้อง คือการกินอาหารให้ครบ 3 มื้อ แต่ใช้การควบคุมพลังงานที่ได้จากอาหารแทน คราวนี้น้ำหนักตัวของ.คุณก็จะค่อยๆ ลดลงอย่างช้าๆ ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อน้ำหนักตัวลดลงจนถึงจุดที่คุณต้องการ หรือสมใจอยากแล้ว หลายคนพลาดแล้วกลับมาอ้วนอีกก็เพราะพวกเขาไม่รู้จัก วิธีควบคุมน้ำหนักไม่ให้กลับมาอ้วนอีก
วิธีควบคุมน้ำหนักไม่ให้กลับมาอ้วนอีกนั้น สามารถทำได้โดยการออกกำลังกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เพราะคนที่มีกล้ามเนื้อที่มากกว่าจะสามารถเผาผลาญไขมันได้มากกว่าคนที่มีกล้ามเนื้อน้อยกว่า ลองสังเกตง่ายๆ กับคนที่เล่นกล้าม หรือเข้าฟิตเนสเป็นประจำและออกกำลังกายด้วยการยกดัมเบลหรือการเกร็งกล้ามเนื้อในส่วนต่างๆ จะเห็นว่าพวกเขาแม้น้ำหนักตัวอาจจะลดลงไม่มาก แต่ร่างกายของเขากลับสมส่วน มีรูปร่างที่ กระชับ เพรียว เนื้อไม่เผละเหมือนคนอ้วนเลย นั้นเพราะว่า เขามีกล้ามเนื้อมากกว่า ร่างกายเขาจึงเผาผลาญไขมันสะสมได้ดีกว่า ทำให้ร่างกายกระชับมากกว่า ส่วนตัวเลขน้ำหนักตัวนั้นก็มาจากน้ำหนักของกล้ามเนื้อ ไม่ใช่จากไขมันนั้นเอง


คนที่ลดน้ำหนักจนถึงจุดที่พอใจแล้ว หากไม่อยากกลับมาอ้วนอีก นอกจากจะต้องควบคุมอาหารที่กิน “อย่ากินอาหารที่ให้พลังงานมากกว่าพลังงานที่ตัวเองใช้ในแต่ละวัน” การเสริมสร้างกล้ามเนื้อด้วยการออกกำลังกายก็เป็นหนทางในการควบคุมน้ำหนัก
แล้วเราต้องคุมน้ำหนักนานแค่ไหน หลักการง่ายๆ ก็คือ เราใช้เวลานานแค่ไหนในการลดน้ำหนัก ก็ใช้เวลาเท่ากันในการคุมน้ำหนัก เช่น เราใช้เวลาในการลดน้ำหนัก 3 เดือน (3 เดือนเราลดน้ำหนักจนถึงจุดที่เราพอใจ) เมื่อเราคุมน้ำหนัก เราก็ต้องคุมน้ำหนักอย่างน้อย 3 เดือนเช่นกัน เป็นต้น





5. อยากลดน้ำหนักให้ได้ผลเร็วเกินไป

สิ่งหนึ่งที่คนลดน้ำหนักแล้วลดไม่สำเร็จสักทีก็เพราะว่า พวกเขาใจร้อนเกินไป อยากเห็นผลเร็วๆ เลยโหมมากเกินไปในช่วงแรก ทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน นอกจากนั้นการหวังผลเร็วเกินไป เช่น อยากลดน้ำหนัก 10 กิโลกรัมภายใน 1-2 สัปดาห์ อันนี้ก็โอเวอร์เกินไป ลองคิดดูเล่นๆ ว่า กว่าคุณจะน้ำหนักตัวเพิ่ม 10 กิโลกรัม คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหน? 1 เดือน 2 เดือน หรือ 3 เดือน



ดังนั้นหากคุณต้องการลดน้ำหนัก จงตั้งเป้าหมายไว้แค่เพียง 0.5-1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นสิ่งที่พอเป็นไปได้และไม่ยากจนเกินไป เมื่อเราทำสำเร็จในแต่ละช่วง เราจะมีกำลังใจที่จะลดน้ำหนักต่อ ซึ่งกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญตลอดระยะเวลาการลดน้ำหนักนั้นเอง
เคล็ดลับ ในการลดน้ำหนักให้ได้ผลยังมีอีกมาก วันนี้เอาแค่ทำความเข้าใจกันแบบพื้นฐานกันก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้ถึงวิธีลดน้ำหนักกันในแต่ละแบบในบทความต่อๆ ไปนะครับ